Accessibility Tools

ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรี
Kanchanaburi Juvenile And Family Court

ข่าวสารและกิจกรรม
image

ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกาญจนบุรี

image
นิทรรศการออนไลน์ เนื่องในวันรพี 7 สิงหาคมimage


พระราชประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์

                 พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๔  ในสมเด็จพระปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ ๕  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์  ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ  ประสูติ เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำ  เดือน ๑๑  ปีจอ ฉศก จุลศักราช  ๑๒๓๖  ตรงกับวันที่ ๒๑  ตุลาคม พุทธศักราช  ๒๔๑๗
 


 การศึกษา

                   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวองค์สมเด็จ   พระบรมชนกาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เข้าศึกษาวิชาภาษาไทย เป็นครั้งแรกในสำนักพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อยอาจารยางกูร) เมื่อได้ทรงผ่านการศึกษาภาษาไทยเป็นเบื้องต้นแล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เข้าศึกษาอังกฤษขั้นต้นในสำนักครูรามสามิ และในปีพุทธศักราช ๒๔๒๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เข้าศึกษาภาษาไทยอยู่ในสำนักพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) เปรียญ ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ

                     ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๒๗  ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบพร้อมกับพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท), พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม  (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี) และพระองค์เจ้าประวัติวรเดช (พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช)  โดยพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)  ได้ทรงจัดให้พระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์นั้น  เรียนรวมกันเป็นพิเศษต่างหากจากนักเรียนอื่น  และโปรดให้มหาปั้น  สุขุม  (เจ้าพระยายมราช) เป็นครูผู้สอน  โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร 

         ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ ณ วันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ  เดือนยี่ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๒๔๖ ตรงกับวันที่  ๒๖ ธันวาคม  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ,พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์, พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม และพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช  พร้อมกันทั้งสี่พระองค์ในคราวเดียวกันครั้งทำพิธีโสกันต์เสร็จแล้ว  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์ผนวชเป็นสามเณรประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์  พระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยมานานแล้วว่า  บรรดาพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ชาย  เมื่อเจริญพระชันษาโสกันต์แล้ว  จะโปรดให้ไปเรียนวิชาความรู้ถึงยุโรปทุกพระองค์  ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พระเจ้าลูกยาเธอ  พระองค์เจ้า รพีพัฒนศักดิ์ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธออีก ๓ พระองค์ ได้ทรงผนวชเณรและลาผนวชแล้ว  สมเด็จ พระบรมชนกาธิราชจึงได้โปรดให้พระยาชัยสุรินทร( ม.ร.ว.เทวหนึ่ง ศิริวงศ์) เป็นผู้พาพระเจ้าลูกยาเธอ ทั้งสี่พระองค์ไปส่งยังกรมพระนเรศวรฤทธิ์ ซึ่งเป็นอัครราชทูตสยามอยู่ ณ กรุงลอนดอน  ให้ทรงจัดการให้เล่าเรียนต่อไป  และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีครูภาษาไทยติดตามไปถวายพระอักษรแก่พระเจ้าลูกยาเธอ ณ ยุโรปด้วย  คือ พระยายมราช  ซึ่งได้เป็นครูผู้คุ้นเคยและสนิทสนมกับพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์อยู่แล้ว  พร้อมทั้งทรงกำชับพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์ที่จะไปศึกษาวิชา ณ ทวีปยุโรปว่า “ขอบังคับว่าให้เขียนหนังสือถึงพ่อทุกคน  ถ้าเขียนหนังสืออังกฤษหรือภาษาหนึ่งภาษาใดได้ให้เขียนภาษาอื่นนั้นมาฉบับหนึ่ง  ให้เขียนคำแปลเป็นหนังสือไทยอีกฉบับหนึ่งติดกันมาอย่าให้ขาด  เพราะเหตุที่ลูกยังเป็นเด็กไม่ได้เรียนภาษาไทยแน่นอนมั่นคง  ก็ให้อาศัยไต่ถามครูไทยที่ออกไปอยู่ด้วย  หรือค้นดูตามหนังสือภาษาไทยซึ่งได้จัดออกไปให้ด้วย” เมื่อได้เสด็จไปถึงกรุงลอนดอนแล้ว  ในชั้นแรกทีเดียวพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ได้ทรงหาครูฝรั่งคนหนึ่งมาสอนภาษาอังกฤษให้พระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์เสมอทุกวัน  ครั้งเวลาว่างก็ให้เจ้าพระยายมราชสอนภาษาไทยถวายต่อมาราว ๑ ปี  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ  แต่นั้นมาเจ้าพระยายมราชก็รับหน้าที่เป็นทั้งครู  และพระอภิบาลพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์นั้น 

                  ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๓๐  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์เสร็จกลับมาชั่วคราวตามพระประสงค์เมื่อสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์เสร็จราชการในยุโรปแล้ว  จึงพาพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์พร้อมด้วยเจ้าพระยายมราชกลับมากรุงเทพฯ  ทางทวีปอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น มาถึงกรุงเทพฯเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๖ ค่ำ  เดือนสิบสอง  ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๒๔๙  ตรงกับวันที่  ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๓๐ เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์เสด็จกลับมากรุงเทพฯแล้ว  สมเด็จพระปิยมหาราชองค์สมเด็จพระบรมชนกาธิราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทั้งสี่พระองค์ไปทรงเรียนที่พระตำหนักสวนกุหลาบ  โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเช่นเดียวกับก่อนเสด็จไปยุโรป พระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์ เสด็จกลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ ถึงปลายปีพุทธศักราช ๒๔๓๑ สมเด็จพระบรมชนกาธิราชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพลเรือตรีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ไปราชการยังทวีปยุโรป  จึงโปรดเกล้าฯให้พาพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์กลับไปส่งยังประเทศอังกฤษด้วย  การเสด็จไปครั้งนี้ไปทางเมืองพม่าและอินเดียก่อนแล้วจึงไปลงเรือเมล์ที่เมืองบอมเบย์ไปยุโรป  เป็นประโยชน์แก่พระเจ้าลูกยาเธอในอันที่จะได้ทรงทอดพระเนตรเห็นบ้านเมืองของชนชาติต่างๆ หลายเมือง  โดยมีผู้ร่วมเสด็จด้วย คือ เจ้าพระยายมราชและท่านผู้หญิงตลับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ได้ทรงเจ้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมอยู่ในกรุงลอนดอน ๓ ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมแล้ว  สมเด็จพระบรมชนกาธิราชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ได้ทรงเลือกศึกษาวิชาการฝ่ายพลเรือน พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ได้ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมาย ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ สมเด็จพระปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้แทนพระองค์เสด็จไปเยี่ยมตอบแกรนดยุ๊กซาเรวิชซึ่งเป็นรัชทายาทประเทศรัสเซียที่ได้เสด็จมากรุงเทพฯ  เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๓  และได้ทรงมอบให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพาพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ไปเข้าวิทยาลัยไครส์ตเชิช ในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Chistchurch College, Oxford) (วิทยาลัยไครส์ตเชิชนี้ก็คือ วิทยาลัยคาร์ดินาล (Czrdinal) ของวูลเซย์ ซึ่งต่อมาพระเจ้าเฮนรี่ ที่ ๘ ได้ทรงปรับปรุงและพระราชทานนามใหม่ว่า ไครส์ตเชิช  วิทยาลัยนี้เป็นวิทยาลัยที่สมเด็จพระมหาธีรราช พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวิชิราวุธ  พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และพระเจ้าวรวงศ์ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิศ (พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร์) ได้เคยทรงศึกษาเมื่อทรงประทับอยู่ออกซ์ฟอร์ด) เมื่อได้ทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยไครส์ตเชิชแล้ว  พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ได้ทรงอุตสาหะเอาพระทัยใส่เป็นอย่างมาก  ในที่สุดได้ทรงสอบไล่ได้ตามหลักสูตรชั้นปริญญา B.A. (เกียรตินิยม) ในทางกฎหมายของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น  เมื่อได้ทรงประสบผลสำเร็จทางการศึกษาแล้ว  ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ
 


การรับราชการและตำแหน่งหน้าที่สำคัญ

๑. เริ่มรับราชการในสำนักราชเลขานุการ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี

๒. เป็นสภานายกในกองข้าหลวงพิเศษ  เพื่อจัดการแก้ไขธรรมเนียมศาลยุติธรรมหัวเมืองทั้งปวงและสะสางคดีความทั่วราชอาณาจักร

๓. เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม

๔. เป็นประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมาย

๕. เป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกา

๖. เป็นกรรมการตรวจตำแหน่งพนักงานในรัฐบาล

๗. เป็นกรรมการตรวจร่างกฎหมายลักษณะอาญา

๘. เป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ


พระราชกรณียกิจ

ด้วยพระปรีชาสามารถอันเป็นอัจฉริยะ ประกอบกับพระวิริยะอุตสาหะของพระเจ้าบรม          วงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นอเนกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายไทย  กล่าวคือ

๑. ปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่

เมื่อพระองค์ท่านได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมแล้ว  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายกสภาข้าหลวงพิเศษออกไปชำระสะสางกฎหมายต่างๆ รวมทั้งธรรมเนียมศาลและชำระสะสางคดีความต่างๆที่คั่งค้างอยู่มากมายในพระราชอาณาจักร  เนื่องจากกิจการศาลและกระทรวงยุติธรรมในสมัยนั้นยังไม่เรียบร้อย ไม่ทันสมัย  คดีความคั่งค้างไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี  งานของศาลต่างๆยังสับสนยุ่งยากแก่การพิจารณาคดี  พระองค์ได้ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและจัดวางระเบียบศาลยุติธรรมของประเทศจากระบบเก่ามาสู่ระบบใหม่  ปรับปรุงศาลต่างๆทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง พร้อมทั้งแก้บทกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญาเสียใหม่  ทำให้ราชการศาลยุติธรรมของไทยเจริญมั่นคงทัดเทียมกับนานาอารยประเทศมาจนทุกวันนี้

๒. ตรวจชำระสะสางกฎหมาย

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๐  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เป็นประธานการตรวจชำระกฎหมาย  เนื่องจากกฎหมายต่างๆในสมัยนั้นยังไม่เป็นหมวดเป็นหมู่บทพระอัยการต่างๆแยกย้ายกันอยู่อย่างสลับซับซ้อนค้นหาได้ยากมาก  พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการตรวจชำระบทอัยการต่างๆมาประมวลเข้าเป็นกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.๑๒๗ ซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๕๑ นับว่าเป็นประมวลกฎหมายไทยฉบับแรก  เพิ่งมาถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พุทธศักราช ๒๔๙๙  ซึ่งประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา ในวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ นี้เอง  รวมใช้มาเป็นเวลาถึง ๔๙ ปี 

การร่างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ นี้  พระองค์ต้องทรงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องทรงร่วมพิจารณาอยู่ด้วยแทบทุกครั้ง  เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๐  มาสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๕๑ ใช้เวลาถึง ๑๑ ปี  และเมื่อได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้วก็ยังทรงเป็นห่วงใยว่าผู้ใช้กฎหมายในเวลาต่อมาจะได้รับความลำบากในการตีความ  ซึ่งอาจไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ร่างเดิม  เนื่องจากต้นร่างเขียนเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นภาษาไทย  แล้วตรวจชำระถ้อยคำให้เป็นภาษาไทยที่รัดกุมเป็นภาษากฎหมาย  ความหมายบางคำจึงไม่อาจตรงกับร่างเดิม  พระองค์จึงทรงแต่งคำอธิบายและทรงแปลต้นร่างเป็นภาษาไทยเรียกว่า ฉบับเทียบ  สำหรับเทียบเคียงให้เห็นความแตกต่างกับตัวกฎหมายที่เรียกว่า ฉบับหลวง

๓. ตั้งโรงเรียนกฎหมาย 

พระองค์ทรงดำริว่า การที่จะให้ราชการศาลยุติธรรมดำเนินไปด้วยดีนั้นจำเป็นต้องจัดให้มีผู้รู้กฎหมายมากขึ้น  และการที่จะจัดเช่นนั้นได้ ก็คือ  เปิดให้มีการสอนวิชากฎหมายขึ้นให้เป็นการแพร่หลาย ให้โอกาสแก่บุคคลที่สนใจเข้าศึกษาได้  พระองค์จึงทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐  เป็นการเปิดการสอนกฎหมายครั้งแรก  โรงเรียนกฎหมายในขณะนั้นจัดขึ้นเป็นกึ่งราชการ  คล้ายหอพระสมุดสำหรับพระนครเจ้าหน้าที่เรียกว่า กรรมสัมปาทิก  มีสภานายก  เลขานุการ เหรัญญิก  และผู้ช่วยสองคน  สถานที่สอนชั้นแรกใช้ห้องเสวยซึ่งอยู่ติดกับห้องเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม  แต่มีนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนห้องนั้นไม่เพียงพอ  จึงย้ายไปสอนที่ตึกสัสดีหลังกลาง  พระองค์ทรงเป็นครูสอนด้วยพระองค์เอง  กับมีอาจารย์ที่ร่วมสอนกฎหมายในชุดแรก  คือ พระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค)  ขุนหลวงพระยาไกรสี (เปล่ง  เวภาระ)  กรมหลวงพิชิตปรีชากร  และพระองค์เจ้าวัชรีวงษ์  ปรากฏว่ามีนักศึกษาและนักกฎหมายเข้าศึกษากับพระองค์ท่านมากมายจนกระทั่งถึงกับนั่งพื้นก็มี  พระองค์ท่านต้องทรงเตรียมการสอนในตอนกลางคืน  ถึงกับต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือเตรียมการสอน  เพื่อเข้าสอนในตอนเช้า

ปี พ.ศ. ๒๕๔๐  นั้นเอง  พระองค์ทรงเปิดให้มีการสอบไล่เป็นเนติบัณฑิต  สถานที่สอบไล่ใช้ศาลาการเปรียญใหม่ของวัดมหาธาตุ  กรรมการสอบมีทั้งไทยและต่างประเทศ  ได้ผู้สำเร็จเป็นเนติบัณฑิตรุ่นแรก ๙ คน  ล้วนเคยทำงานมาแล้วคะแนนแบ่งเป็น ๒ ชั้น  ชั้นที่หนึ่งมี ๔ คน  ชั้นที่สองมี ๕ คน  ในชั้นที่ ๑  มีผู้ได้เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา  ๑ คน  คือ  เจ้าพระยามหิธร (ลออ  ไกรฤกษ์) ได้รับยกย่องว่าเป็นเนติบัณฑิตคนแรก  ต่อมาก็มีการสอบไล่ประจำปีได้เนติบัณฑิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เนติบัณฑิตเหล่านี้เข้ารับราชการในกระทรวงยุติธรรม  เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนกฎหมาย  ช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์ลงมาก

รายนามเนติบัณฑิตรุ่นแรกมีดังต่อไปนี้

       ๑.นายลออ   ไกรฤกษ์  ภายหลังเป็นเจ้าพระยามหิธรได้รับการยกย่องว่าเป็น เนติบัณฑิตคนแรก

       ๒.นายไชยขรรค์    หุ้มแพร  (เทียม  บุนนาค) ภายหลังเป็นขุนหลวงพระยาไกรสี

       ๓.นายบุ   สุวรรณศร ภายหลังเป็นหลวงอรรถสารสิทธิกรรม

       ๔.นายถึก  ภายหลังเป็นหลวงนิเทศยุติณาณ

ชั้นที่ ๒

       ๕.นายทองดี    ธรรมศักดิ์  ภายหลังเป็นพระยาธรรมสารเวทย์วิเศษภักดี

       ๖.นายจำนง   อมาตยกุล  ภายหลังเป็นพระยาเจริญราชไมตรี

       ๗.นายเสนอ   งานประภาษ  ภายหลังเป็นพระยาพิจารณาปฤชามาตย์ (สุหร่าย  วัชราภัย)

       ๘.นายโป๋   คอมันตร์ ภายหลังเป็นพระยาพิพากษาสัตยาธิปตัย

       ๙.ขุนสุภาเทพ (เภา  ภวมัย) ภายหลังเป็นพระยามหาวินิจฉัยมนตรี

๔. รวบรวมและแต่งตำรากฎหมาย

นอกจากพระองค์จะทรงสอนกฎหมายประจำทุกวันแล้ว  พระองค์ยังทรงแต่งตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่างๆมากมาย  ทรงรวบรวมกฎหมายตราสามดวงอันเป็นกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่ในเวลานั้น  ทรงรวบรวมพระราชบัญญัติบางฉบับและคำพิพากษาฎีกาบางเรื่องพิมพ์ขึ้นเป็นสมุดเล่มใหญ่  แบ่งเป็นหมวดหมู่  มีคำอธิบายและสารบาญรายละเอียดกฎหมายตราสามดวงที่ทรงรวบรวมให้ชื่อว่า กฎหมายราชบุรี  ส่วนพระราชบัญญัติบางฉบับ ให้ชื่อว่า พระราชบัญญัติราชบุรี

๕. เป็นกรรมการตรวจตัดสินความศาลฎีกา

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๑  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  แต่งตั้งให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกา  กรรมการชุดนี้มีชื่อเรียกว่า ศาลกรรมการฎีกา  ทำหน้าที่ศาลสูงสุดของประเทศ แต่ไม่สังกัดกระทรวงยุติธรรม  ในภายหลังได้กลายสภาพมาเป็นศาลฎีกาในปัจจุบัน 

๖.  ตั้งกองพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือ

พระองค์ทรงร่วมจัดราชการฝ่ายการราชทัณฑ์  ให้เป็นไปตามหลักวิชาแบบอย่างอารยประเทศ  ทรงวางข้อบังคับเรือนจำกองมหันตโทษ  การตรวจเรือนจำโดยผู้พิพากษาทรงตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้นที่กองลหุโทษ เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๓  สำหรับตรวจพิมพ์ลายมือผู้ต้องหาในคดีอาญา  เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดหลายครั้งที่ไม่เข็ดหลาบ  พระองค์ได้เสด็จไปสอนวิชาตรวจเส้นลายมือและวิธีเก็บเส้นลายมือด้วยพระองค์เอง  โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย  งานชิ้นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ลายมือที่กรมตำรวจทำอยู่ทุกวันนี้

๗.  งานด้านกรมที่ดิน

ขณะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ  พระองค์ได้ทรงปรับปรุงกิจการกรมทะเบียนที่ดินให้เจริญก้าวหน้าเป็นอันมาก  ทรงแก้ไขปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ ในเรื่องการทะเบียนที่ดิน  และทรงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและระเบียบการที่ดินให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกหลายประการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ฉบับที่ ๓ ประกาศใช้เมื่อวันที่  ๑๒  พฤษภาคม ๒๔๖๒


 

ทรงลาพักราชการรักษาพระองค์และวาระสุดท้าย

ในปี พ.ศ.๒๔๖๒  พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ทรงประชวรด้วยพระวัณโรคที่พระวักกะ ได้ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาพักราชการเพื่อรักษาพระองค์  มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๔๖๒ ให้ทรงลาพักราชการจนกว่าจะหายประชวรและได้เสด็จไปรักษาพระองค์ ณ ประเทศยุโรป ประทับที่กรุงปารีส  แพทย์ได้ทำการผ่าตัดจัดการรักษาและถวายโอสถอย่างเต็มความสามารถของแพทย์ที่จะใช้ความรู้ประคับประคองไว้อีกได้  จนกระทั่ง ในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๓ เวลา ๒๑ นาฬิกา พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ก็เสด็จสิ้นพระชนม์ ณ กรุงปารีส นั้นเอง  พระชนมายุได้ ๔๗ พรรษา  พระศพของพระองค์ท่านได้รับการประกอบพิธีถวายเพลิงพระศพ ณ กรุงปารีส  และได้อันเชิญพระอัฐิเข้ามาในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๓ 

 

 

พระบิดาแห่งกฎหมายไทย

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ผู้ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งยวด  ทรงถือว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะสำหรับนักกฎหมาย  และทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้มีผู้รู้กฎหมายจำนวนมากขึ้น  เพื่อที่จะช่วยกันผดุงความยุติธรรมให้บังเกิดแก่อาณาประชาชน  ได้ทรงเริ่มจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นและเป็นผู้สอนวิชากฎหมายด้วยพระองค์เอง  ทรงจัดวางระเบียบศาลยุติธรรมของประเทศจากระบบเก่ามาสู่ระบบใหม่  ทรงรวบรวมกฎหมายเก่าที่ใช้อยู่ในเวลานั้น  พระราชบัญญัติบางฉบับ  และคำพิพากษาฎีกา  พิมพ์ขึ้นพร้อมคำอธิบายและสารบาญรายละเอียดเพื่อสะดวกแก่การค้นคว้า  ทั้งทรงแต่งตำราอธิบายกฎหมายลักษณะต่างๆอีกมากมาย  การค้นคว้ารวบรมและพระนิพนธ์เหล่านี้ได้เป็นรากฐานก่อตั้งการศึกษานิติศาสตร์ขึ้นในประเทศไทย  อันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติ  จึงทรงได้รับยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” และเรียกวันที่ ๗ สิงหาคม  อันเป็นวันคล้ายวันสิ้นประชนม์ของพระองค์ว่า “วันรพี”